ศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ผลสำรวจในพื้นที่และความเห็นของผู้ประกอบการท่องเที่ยวในตลาดยุโรปและอเมริกา อาทิ ททท.สำนักงานลอนดอน ได้ร่วมกับ YouGov บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านข้อมูลและการวิจัยตลาดระดับโลกได้ทำการสำรวจความคิดเห็นและข้อมูลพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในตลาดสหราชอาณาจักร จำนวน 4,127 ราย เกี่ยวกับการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศหลังวิกฤติโควิด-19
พบว่า 75% ของนักท่องเที่ยวที่วางแผนจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ “ยินดีเข้ารับการฉีดวัคซีน” หากเป็นกฎหรือข้อบังคับสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ และกลุ่มอายุ 55 ปีขึ้นไปมีความต้องการในการเข้ารับการฉีดวัคซีนสูงที่สุด
ส่วน 41% ของนักท่องเที่ยวที่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ “ไม่เห็นด้วยกับมาตรการการกักตัว ณ ประเทศปลายทาง” แต่ 52% มองว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้หากมีจำนวนวันการกักตัวสูงสุดไม่เกิน 5 วัน ขณะที่ 62% ของนักท่องเที่ยวที่วางแผนจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป พิจารณาเลือกเดินทางไปท่องเที่ยว ยังประเทศหรือสถานที่ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต่ำ
“ด้าน 9% หรือประมาณ 6 ล้านคนของนักท่องเที่ยวที่วางแผนจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ พิจารณาเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศไทยในปี 2564”
ททท.สำนักงานสต็อกโฮล์ม ได้จัดทำการสำรวจออนไลน์ในตลาดฟินแลนด์ พบว่า 99% ของชาวฟินแลนด์ให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ก่อนออกเดินทางท่องเที่ยว และหากไม่มีข้อจำกัดการเดินทางแล้ว ผู้ตอบแบบสอบถาม 62% สนใจเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศไทยในช่วงฤดูหนาวปี 2564 และ 2565 โดยภูเก็ต กระบี่ และเขาหลัก ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม รองลงมาได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า กรุงเทพฯ และหัวหิน นอกจากนี้ยังพบว่าชาวฟินแลนด์ 68% ยังไม่ตัดสินใจเดินทางหากมีเงื่อนไขการกักตัว มีเพียง 26% ที่ยอมรับการกักตัวได้ และ 13% ยอมรับได้หากต้องกักตัวไม่ถึง 10 วัน
ด้านผลสำรวจนักท่องเที่ยวฝรั่งเศส แพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agents : OTA) ได้แก่ Opodo, eDreams และ Go Voy พบว่าหลังจากที่มีการประกาศความสำเร็จของวัคซีนต้านโควิด-19 การค้นหาเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 15% โดยแหล่งท่องเที่ยวที่มีการค้นหาเพิ่มขึ้นมากที่สุดหลังการประกาศเรื่องวัคซีน ได้แก่ ดูไบ เพิ่มขึ้น 49%, มาราเกซ เพิ่มขึ้น 27% และกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 25%
ทั้งนี้ชาวฝรั่งเศส 20% ตรวจสอบมาตรการความสะอาดและความปลอดภัยของโรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวก่อนที่จะจอง, 20% หันมาท่องเที่ยวในประเทศ และ 18% จองการเดินทางแบบนาทีสุดท้าย (Last Minute)
ขณะที่ผลสำรวจนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน โดยบริษัท MMGY Myraid ระบุว่า นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันไม่ได้ยกเลิกการเดินทาง แต่เป็นการเลื่อนการเดินทาง ยังประสงค์เดินทางภายใน 7 เดือนถึง 1 ปี ทั้งการเดินทางภายในและต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับ Certificate ที่ออกโดยองค์กรระดับโลก เช่น WTTC และ UNWTO เทรนด์ที่น่าจับตามองคือท่องเที่ยวแบบลุยเดี่ยว (Solo Travel)
“นโยบายที่สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเวลาเดินทางคือหัวใจสำคัญที่นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันชื่นชอบ ขณะเดียวกันความปลอดภัยถือเป็นสิ่งสำคัญ และสามารถสร้างเป็นมูลค่าเพิ่มได้ หรือ Safety is The New Luxury และสิ่งที่นักท่องเที่ยวแสวงหาในเวลานี้คือ Safety, No Quarantine, Flexibility และ No Deposit”
ด้าน Mega Travel Trends 2025 โดย Skift Research บริษัทสื่อที่ทำวิจัยและสำรวจข้อมูลตลาดเพื่อการท่องเที่ยว ชี้ว่า การฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว (Travel Recovery) จะเกิดขึ้นจริงในปี 2566 โดยในสหรัฐจะเริ่มเห็นการเดินทางเกิดขึ้นจริงประมาณเดือน ก.ย.2564 ส่วนใหญ่จะเริ่มจากการท่องเที่ยวภายในประเทศ
“ขณะที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลกจะฟื้นคืนเทียบเคียงปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด-19 ในอีก 4 ปีข้างหน้าหรือในปี 2568”
สินค้าและแหล่งท่องเที่ยวที่ตลาดต้องการในปี 2568 จะต้องช่วยเติมเต็มจิตวิญญาณและความหมายของชีวิต (Soulful) ให้ความสนใจสิ่งแวดล้อม และมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยสิ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนการขายแพ็คเกจนำเที่ยวคือ ราคาความคุ้มค้า (Deal) และนโยบายการเปลี่ยนการเดินทาง (Flexible Change Policy)นอกจากนี้การทำงานระยะไกลจะเป็นที่นิยมมากขึ้น ทั้ง Mobile Work, Work from Home และ Work from Anywhere ส่วนนักท่องเที่ยวจะเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญคือกลุ่มมิลเลนเนียลและเจนซี
อ่านเพิ่มเติมได้ที่:https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/924415